วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Blueberry cheese pie by Puifai

อยากลองทำขนมบ้าง ก็เลยให้คุณปุยฝ้ายสอนทำขนมหวานที่ทำง่ายๆดู เมนูที่คุณปุยฝ้ายเลือกคือพายบลูเบอร์รี่ครีมชีสที่ทำได้โดยไม่ต้องอบ เพียงแค่ใช้ความเย็นให้ขนมเซ็ตตัว


ขนมจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือพายเป็นส่วนฐาน ครีมชีส แล้วก็ท๊อปปิ้งด้วยบลูเบอร์รี่ เนื่องจากเราไม่อยากอบพายให้เป็นการเสียเวลาเลยใช้ขนมแครกเกอร์ที่มีขายทั่วไป ในวันนี้เราใช้ Nabisco's RITZ มาทุบให้ละเอียดเป็นผง เตรียมเนยสดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำไปอุ่นในไมโครเวฟให้ละลาย แล้วคลุกผงแครกเกอร์ด้วยเนยสดให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เราเลือกใช้เนยสดชนิดเค็มเพราะอยากให้พายมีรสออกเค็มเพื่อมาตัดความหวานเปรี้ยวของชีสและบลูเบอร์รี่


ผสมเนยสดที่ละลายเข้ากับผงแครกเกอร์


ต่อมาก็เตรียมเนื้อครีมชีสด้วยการนำเนยแข็ง (Kraft Philadelphia cream cheese) มาผสมกับวิปปิ้งครีม (Foremost whipping cream) โยเกิร์ตรสจืด (Dutchie) นมข้นจืด นมข้นหวาน (Carnation) และน้ำมะนาวเพียงเล็กน้อย ขั้นตอนต่อมา ใครที่ไม่เคยผสมแป้งหรือครีมจะได้ทดสอบข้อมือกันเล็กน้อย เพราะการตีให้เนื้อครีมเข้ากันจนเนียนสวยนี่เมื่อยมือกันพอสมควรเลยทีเดียว


ผสมทุกอย่างให้เข้ากัน


เนื้อครีมเนียนสวย


ได้ส่วนผสมครบหมดแล้ว จากนั้นก็เตรียมแม่พิมพ์เพื่อมาใส่ขนมได้เลย เริ่มจากปูพื้นด้วยพายใช้หลังช้อนกดให้อยู่ตัวแต่ไม่ต้องแน่นจนเกินไป นำไปแช่ตู้เย็นประมาณ 5 นาทีเพื่อให้เนื้อพายแข็ง จากนั้นราดพายด้วยครีมชีสเกลี่ยให้เสมอกัน นำไปแช่ตู้เย็นอีกประมาณ 15 นาที สุดท้ายนำมาราดท๊อปปิ้งด้วยบลูเบอร์รี่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย


เทเนื้อพายลงในแม่พิมพ์

ใช้หลังช้อนกดให้เรียบ
แช่เย็นให้เซ็ตตัว

เกลี่ยครีมชีสให้เต็มแบบก่อนนำไปแช่เย็น

เพิ่ม topping แสนอร่อย

เสร็จเรียบร้อย พายบลูเบอร์รี่ครีมชีส


ส่วนผสมในการทำครั้งนี้ค่อนข้างเยอะเนื่องจากทำหลายถ้วยมาก ดังนั้นถ้าทำกินเองก็ควรลดขนาดไซส์ลงมา ส่วนผสมต่างๆทานได้เลย ดังนั้นชิมไประหว่างทำก็เป็นอะไรที่เพลินดีเหมือนกันนะ


โยเกิร์ตรสจืด 1 ถ้วย เนยสดและเนยแข็งขนาด 250 กรัม

Wilderness Blueberry

วิปครีมสด

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

BOINC on Ubuntu

เรื่องมีอยู่ว่าผมมี Desktop PC เครื่องเก่าอายุกว่า 7 ปีมาแล้วที่ตอนนี้จะเอามาเล่นเกมส์อะไรก็ไม่ได้ (ซื้อคอมพ์มาไว้เล่นเกมส์จริงๆนะเนี่ย) สเปคเครื่องก็แค่ Pentium4 2.66GHz, Ram 1 GB, HDD 40 GB ถ้าลง Microsoft Windows ก็คงเปลืองพื้นที่โดยใช้เหตุ แถมแพงอีกต่างหาก ราคาเกือบๆ 5 พันบาท จะทิ้งก็เสียดายเพราะมันยังทำงานได้อยู่ จึงเป็นที่มาของการลองลง OS ฟรีที่ตั้งใจจะลองเล่นนานแล้ว นั่นคือ Linux และเอาไว้ให้มันคำนวนงานทางวิทยาศาสตร์ของ BOINC


เริ่มแรกก็โมเครื่องให้เหลือแค่ที่จำเป็นด้วยการดึงการ์ดจอออก เพราะมี on-board อยู่แล้ว จากนั้นก็เปลี่ยนถ่าน BIOS แล้วก็ใช้อีกเครื่องหนึ่งโหลด Ubuntu มา เข้าไปในเวบจะมี 2 แบบให้เลือกคือ Desktop กับ Server ผมเลือกที่จะใช้ตัว Server เผื่อว่าจะลองเล่นอย่างอื่นเช่น Mail server หรือ Database 


หลังจาก Download ไฟล์ Ubuntu ที่มาเป็น .ISO เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทำการไรท์ลงแผ่น CD สำหรับนำไปติดตั้ง โดยเลือกให้เครื่องทำการบูทจากแผ่น CD ขั้นตอนการติดตั้งไม่ได้ยากอะไร แทบไม่ต่างจากวินโดวส์ ไม่นานนัก เจ้าเครื่องเก่า Pentium4 ตัวนี้ก็มี OS พร้อมใช้งาน ยอมรับเลยว่าติดตั้งได้เร็วมาก ไม่ต้องคอยจนเบื่อเหมือนวินโดวส์


แต่หลังจากนี้จะเป็นอะไรที่ยากแล้ว เพราะครั้งสุดท้ายที่เล่น Command Line OS ก็ตอนเป็น MS-DOS สมัย... 16 ปีก่อน แถมคำสั่งยังไม่เหมือนกันอีก ไม่รู้คำสั่งอะไรเกี่ยวกับ UNIX เลย เป้าหมายของเราคือติดตั้ง BOINC ดังนั้นเจ้าเครื่องนี้ต้องติดต่อกับ Server ของ BOINC ได้ผ่าน Internet ในตอนติดตั้งเราสามารถเซ็ตค่าเน็ตเวิร์คได้ตั้งแต่ต้น แต่พอดีผมดันข้ามขั้นตอนนี้ไปก็เลยต้องมาตามเซ็ตทีหลัง โชคดีได้คุณเพื่อนที่แสนดีช่วยหา link วิธีเซตให้ http://www.ubuntugeek.com/ubuntu-networking-configuration-using-command-line.html เราก็ทำตามอย่างว่าง่าย พิมพ์คำสั่งตามที่ในเวบบอก

sudo vi /etc/network/interfaces

*(sudo ที่นำหน้า คือคำสั่งที่แสดงว่าเรามีสิทธิ์ใช้ระบบ ย่อมาจาก "substitute user do")
หน้าจอก็เปลี่ยนไปแสดงข้อมูลในไฟล์ เราต้องการให้ router แจก IP Address เองก็สั่ง Auto ไปเลย


auto eth0
iface eth0 inet dhcp



หรือถ้าจะกำหนดเองก็ไม่ยาก


auto eth0
iface eth0 inet static
address 192.168.1.4
gateway 192.168.1.1
netmask 255.255.255.0
network 192.168.1.0
broadcast 192.168.1.255



ตัวอย่างข้างบนกำหนดให้ IP address เป็น 192.168.1.4 ไม่ยากเท่าไหร่


แต่ที่ยากคือ เจ้าโปรแกรม VI ที่เราใช้แก้ไขข้อความเนี่ย เราจะออก จะเซฟไงเนี่ย ก็เลยต้องเปิดเวบหาอีก http://www.washington.edu/computing/unix/vi.html สรุปที่ใช้เลยก็คือ 3 คำสั่งนี้

ZZ บันทึกไฟล์และออกจากโปรแกรม
:w บันทึกไฟล์ :q! ออกจากโปรแกรมโดยไม่บันทึก

แล้วเราก็ต้องสั่งให้ Ubuntu เริ่มใช้ค่าใหม่ที่เราเพิ่งเขียนไปด้วยคำสั่งนี้

sudo /etc/init.d/networking restart


ตอนนี้ Ubuntu ก็เข้าอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ต่อไปคือการติดตั้งโปรแกรม BOINC ผมก็ไปใฃ้อีกเครื่องทำการ Download ไฟล์ติดตั้งซึ่งนามสกุลเป็น .sh แล้วก็ก๊อปปี้ใส่ USB Flash Drive แต่เมื่อเสียบ USB Flash Drive ไปแล้ว Ubuntu จะยังใช้งานไดรฟ์ไม่ได้ทันที ต้องมีคำสั่งใช้ไดร์ฟก่อน นั่นคือการ mount
https://help.ubuntu.com/community/Mount/USB

sudo mkdir /media/external

sudo mount -t vfat /dev/sdb1 /media/external

ก่อนอื่นเราต้องสร้าง Directory ขึ้นมาใหม่ก่อนเพื่อเวลาเราทำการ mount แล้ว USB Flash Drive ก็จะเสมือนเป็น Directory นึงในเครื่อง ตัว /dev/sdb1 คือ USB Flash Drive ที่เราเพิ่งเสียบเข้าไปนั่นเอง อยากรู้ว่ามี Drive อะไรในเครื่องบ้าง ก็ใช้คำสั่งนี้ครับ

sudo fdisk -l

มาถึงตรงนี้ถึงนึกได้ว่า คำสั่งพื้นฐาน Unix มีอะไรบ้างเนี่ย http://mally.stanford.edu/~sr/computing/basic-unix.html ที่นี่รวมไว้ให้หมดล่ะ

ที่ใช้อยู่หลักๆก็คงเป็น
 ls -l                       ดูรายชื่อไฟล์ (เหมือน dir ของ MS-DOS)
mkdir dirname      สร้างไดเรคทอรี่ใหม่
cd dirname           เข้าไดเรคทอรี่
cp file1 file2         คัดลอกไฟล์1 ไปยังไฟล์2 (เหมือน copy ของ MS-DOS)

หลังจากก๊อบไฟล์นามสกุล .sh ของ BOINC มาแล้วก็ทำการติดตั้ง โดยใช้คำสั่ง sh ตามด้วยชื่อไฟล์

sudo sh boincx86.sh

แค่นี้เป็นอันเสร็จ... หรือเปล่า อ้าว ผมรันโปรแกรม BOINC ไม่ขึ้น แต่เห็นไดเรคทอรี่ของ BOINC แล้วนะ ลองเข้าไปดูในเวบเห็นมีคำสั่งแปลกๆ เกี่ยวกับ install เลยลองดู

http://boinc.berkeley.edu/wiki/Installing_BOINC_on_Ubuntu

sudo aptitude install boinc-client

โดนฟ้องว่าหาไม่เจอ แล้วพอลองสั่ง sudo run_client start ก็โดนฟ้องว่าขาด library สุดท้ายเพิ่งมาฉลาดว่า จริงๆแล้วไม่ต้องไป Download ไฟล์ .sh มาตั้งแต่ต้น ไม่ต้อง copy ใส่ Flash Drive มา mount ให้ยุ่งยาก แค่เพียงสั่งให้ Ubuntu ติดตั้งผ่าน internet ได้เลย

sudo apt-get install boinc-client

Ubuntu ก็จะทำการ Download มาติดตั้งเอง เรียบร้อย ง่ายดาย
เมื่อมี BOINC Client พร้อมที่จะทำงานแล้ว เราก็ต้องเรียกให้โปรแกรมขึ้นมาทำงาน

sudo /BOINC/run_client start

อ้าว แล้วจะเลือกโปรเจคกับเข้า account เรายังไงล่ะเนี่ย ลองเปิดค้นดูเจอหน้านี้เข้า
http://boinc.berkeley.edu/wiki/Boinccmd_tool พารามิเตอร์เยอะเหมือนกันนะเนี่ย

boinccmd --lookup_account URL email password 

เราจะได้ account key ออกมาเพื่อนำไป attach กับโปรเจค

boinccmd --project_attach URL account_key

เป็นอันเสร็จสิ้น BOINC ก็จะโหลดไฟล์คำนวนของโปรเจคกับไฟล์งานมาทำงานของมันเอง ลองตรวจดูความคืบหน้าได้โดย

boinccmd --get_state

และแล้วเครื่องเก่าของผมก็ได้ใช้เพื่อคำนวณงานด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็นแค่กองเศษเหล็กอีกต่อไป


วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Grow your own wheatgrass


Living in big cities? Wanna bring something green to your place? Try this "WheKit"! You can grow your own wheatgrass at home.


I bought this kit for THB 120.00

Inside the box containing

1.    Wheat grain
2.    Media


Step 1: Leave the grain in water for 12 hours

Step 2: Put media in the tray and flatten

Step 3: Sprinkle soaked grain evenly over the media
So full! On the first day the gain must be soaked but I'm out to work. Cover them with plastic sheet can help keep them moisture.



Second day in the evening. You can see the little furry white grow from the grain, it's not fungus!



Third day morning. Little green shoots show.

Third day evening. A little dry but still growing.


On the forth day, more green!


Fifth day, almost ready to harvest.

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ฟังเพลงใหม่ในทำนองเก่า

ฟังเพลง "On the floor" ของ Jennifer Lopez featuring Pitbull แล้วทำนองที่คุ้นๆหูตอนเด็กก็ลอยขึ้นมา มันคือเพลง "ขอเวลาหน่อย" ของ ดอน สอนระเบียบนั่นเอง แต่จริงๆแล้วทำนองเพลงนี้เป็นของใครก็เลยลองถามลุง Google ดู ได้ความว่าเป็นเพลงภาษาสเปนเมื่อปี พ.ศ. 2525 (1982 A.D.) ชื่อว่า "Llorando se fue" ของวง Los Kjarkas ชาวโบลิเวีย แล้วทำนองนี้ก็มาโด่งดังจากการ cover เป็นภาษาโปรตุเกศของวง Kaoma ในชื่อเพลงว่า "Lambada" เมื่อปีพ.ศ. 2532 (1989 A.D.)


Jennifer Lopez "On the floor" ft. Pitbull (2011)


Kaoma "Lambada" (1989)


Los Kjarkas "Llorando se fue" (1982)

มีเพลงต้นฉบับให้ชมใน YouTube นะครับ แต่ใน version ไทยของดอน สอนระเบียบผมหาไม่เจอ ถ้าใครอยากฟังก็ลองหาดูจากแผ่นของนิธิทัศน์ เอโอเอนะครับ

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

กิจกรรมสำหรับวันหยุดที่หมอกฟ้าใสรีสอร์ต

ตั้งแต่เปิดปีใหม่มา งานที่ระดมเข้ามาอย่างไม่ขาดสายทำให้พวกเราต้องทำงานกันอย่างเต็มที่ พอเข้าช่วงเทศกาลเป็นประจำทุกปีที่งานจะเริ่มเบาบางลง และแล้วก็มีวันหยุดกลางสัปดาห์โผล่เข้ามา อย่างเช่นวันนี้ 6 เมษายน 2554 วันจักรี เหล่ามดงานจาก Medical unit ก็วางโปรแกรมไปหากิจกรรมสนุกๆทำรับวันหยุด เป้าหมายที่พวกเขาเลือกไว้ก็คือ หมอกฟ้าใสรีสอร์ต อ.แม่สอด จ.ตาก นี่เอง และเนื่องจากพวกเรามีที่พักอยู่ในแม่สอดอยู่แล้วก็เลยเพียงแค่ไปทำกิจกรรมกัน ไม่ได้ไปพักค้างคืนเล่นรอบกองไฟกัน!!!

เวลานัดหมาย 8.30 น.คณะเดินทางมารวมตัวกันที่สถานีเชื้อเพลิงปตท.แม่สอด หาเสบียงและขนมรองท้องกันไปก่อนออกเดินทาง หมอกฟ้าใสรีสอร์ตตั้งอยู่บนถนนสาย 105 (ตาก-แม่สอด) ระยะทางโดยประมาณจากแม่สอดไปยังหมอกฟ้าใสรีสอร์ต 20 กิโลเมตร ส่วนถ้าขึ้นมาจากจังหวัดตากจะประมาณ 60 กิโลเมตร จุดสังเกตุคือบริเวณทางเข้าจะมีจุดตรวจของตำรวจอยู่ จากถนนใหญ่ขับรถเข้าไปอีก 3 กิโลเมตร

เมื่อมาถึงเราก็มาดูโปรแกรมของกิจกรรมที่ทางรีสอร์ตมีให้บริการ เริ่มตั้งแต่ ล่องแก่ง โรยตัว กระโดดหอสูง รถ ATV และเรือเจ็ทสกี ทุกกิจกรรมน่าสนใจก็เลยซื้อแพคเกจรวมในราคา 1,500 บาท แล้วก็เริ่มต้นผจญภัยได้

อย่างแรก เราก็ขึ้นรถของทางรีสอร์ตไปยังจุดขึ้นเรือยางเพื่อไปล่องแก่ง (แม่ละเมา) ซึ่งกิจกรรมต่างๆจะอยู่ภายนอกรีสอร์ตไม่รบกวนแขกคนอื่นๆที่พักผ่อนอยู่


วันนี้ที่เรามากันปริมาณน้ำไม่เยอะมาก บรรยากาศในป่าร่มรื่น ทำเอาหลายๆคนตั้งท่าจะหลับกันเลยทีเดียว ล่องแก่งผ่านมาได้สักพัก (ไม่แน่ใจเรื่องเวลาจริงๆ เพราะบรรยากาศสบายๆทำเอาปล่อยตัวปล่อยใจ ลืมเรื่องเวลาไปเลย) ก็มาถึงจุดทำกิจกรรมที่ 2 ได้แก่โรยตัวและกระโดดหอสูง


งานนี้ใครที่กลัวความสูงก็ต้องใช้ความกล้ามากนิดนึง ถึงขนาดเราเองที่อยากเล่น ขอไปเป็นคนแรกยังมีแอบขาสั่นเล็กน้อยตอนจะออกตัว

แต่พอก้าวขาลงไปได้แล้วล่ะก็ถึงเวลามันล่ะ ตอนที่กลัวจังหวะแรกหายไปแล้ว คราวนี้ก็ต้องลองถีบตัวแบบที่เคยเห็นในหนังบ้างล่ะ 555 ทุกคนติดใจกันใหญ่ ขึ้นไปเล่นรอบ 2 กันอย่างว่าง่ายกว่ารอบแรกเยอะเลย





พอเล่นรอบสองกันครบแล้ว เส้นทางที่สั้นที่สุดเพื่อกลับไปยังเรือยางล่องแก่งไปยังจุดต่อไปคือกระโดดหอไป แน่นอนว่าเป็นที่สนุกสนานกันอีกเหมือนเดิม








กลับมาล่องแก่งกันต่อเพื่อไปยังกิจกรรมถัดไป คราวนี้เราเจอกับอุปสรรคเล็กน้อยคือ ต้นไม้ล้มขวางทางน้ำอยู่ ต้องลงจากเรือและข้ามไป ได้เปียกเท้ากันเล็กน้อยให้ได้เย็นชื่นใจ


แล้วเราก็มาถึงบริเวณสำหรับกิจกรรมสุดท้ายคือเจ็ทสกี และ ATV สระน้ำสำหรับให้เล่นเจ็ทสกีเล็กไปนิดนึงคนที่ชอบความเร็วอาจจะเร่งไม่ได้จุใจนัก แต่สนาม ATV ก็ถือว่าใช้ได้ มีอุปสรรคและวิวที่น่าสนใจให้ได้ชม


เสร็จกิจกรรมเพิ่งจะได้ดูเวลาว่าบ่าย 2 โมงแล้ว แต่ละคนถึงได้บ่นหิวกัน ก็เลยนั่งรถของรีสอร์ตกลับไปที่รีสอร์ตแทนการล่องแก่ง เพราะจริงๆแล้วสามารถล่องแก่งจนกลับไปถึงรีสอร์ตได้เลย หลังจากล้างหน้าล้างตา ดื่มน้ำ และพักเหนื่อยกันพอสมควร พวกเราก็เดินทางกลับแม่สอดเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้าน 9&9 Coffee House ทริปวันนี้ก็จบลงด้วยความอิ่ม และ ง่วงของทุกๆคน

ข้อมูลหมอกฟ้าใสรีสอร์ต ที่อยู่ 381 หมู่ 1 ต.พะวอ อ.แม่สอด จ.ตาก 63110
โทรศัพท์ 0-5557-7682-4, 08-1045-7516
เว็บไซต์ www.mokfahsai.com

*บรรยากาศของรีสอร์ตและห้องพักเนื่องจากเราไม่ได้เข้าไปดูก็เลยไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ดูกันนะครับ แต่รู้สึกจะมีของคุณ OoYoYoO ลองเข้าไปดูในเพจของเค้าแล้วกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2554

ช่วยงานวิจัย

สมัยเรียนประถมศึกษา วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต (สปช.)ในสมัยนั้นทำหลักสูตรให้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะการทดลองทางวิทยาศาสตร์ เรากับเพื่อนเตรียมการทดลองและทำการทดลองที่เข้าใจง่ายบ้าง ทำไปทั้งๆที่คาดผลลัพท์ได้ล่วงหน้าแล้วบ้าง แต่ก็สนุกสนานและทำให้เกิดความรู้สึกอยากเรียนรู้วิทยาศาสตร์มากขึ้น จินตนการว่าโตขึ้นจะเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอย่างดร. เอ็มเม็ตต์ บราวน์ในภาพยนตร์เรื่องเจาะเวลาหาอดีต (Back to the future ปี 1985 แสดงโดยคริสโตเฟอร์ ลอยด์) เมื่อเรียนสูงขึ้นก็พบว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการทดลองและงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่นักวิจัยเองก็ได้พบกับปัญหาเมื่อการค้นพบสิ่งใหม่ๆ สมมติฐานและแบบจำลองต้องใช้การคำนวณที่ยาวนานเกินกว่าช่วงอายุของมนุษย์ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตจึงได้เข้ามามีส่วนช่วยในการคำนวณสิ่งเหล่านั้นแทนมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันมีคอมพิวเตอร์มากกว่าพันล้านเครื่อง ถ้าใช้ทรัพยากรการคำนวณอันมหาศาลเหล่านี้จะสามารถย่นระยะเวลาในการทำงานวิจัยลงไปได้อย่างมาก

ถึงตอนนี้แม้เราจะไม่ได้จบด้านวิทยาศาสตร์สาขาใดๆมาก็ตาม เราก็สามารถมีส่วนร่วมในงานวิจัยที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้กับโปรแกรม Berkeley Open Infrastructure for Network Computing (BOINC) ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในขณะที่พวกเราเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานทั่วๆไปเช่นเขียนรายงาน ท่องเวบ หรือแม้แต่ดูภาพยนตร์จากดีวีดี คอมพิวเตอร์ของพวกเราจะไม่ได้ใช้ความสามารถของมันเต็ม 100% สามารถเปิดดูได้จาก Task Manager ถ้าคุณใช้ Windows เพียงกด Ctrl + Alt + Del แล้วเลือก Task Manager (แตกต่างกันไปใน Windows แต่ละรุ่น และไม่แนะนำให้กดถ้าคุณยังใช้ MS-DOS อยู่ 555) โปรแกรม BOINC จะใช้ทรัพยากรที่เหลือของคอมพิวเตอร์ในการคำนวณงานวิจัยต่างๆที่คุณสามารถเลือกได้เองว่าจะวิจัยด้านใดตามความสนใจของคุณ และคุณจะได้รับเครดิตจากการคำนวณโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ


Task Manager จะเห็นว่าจากการใช้งานคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป จะมีการใช้ CPU ต่ำมากๆ


ในตอนแรกการอาสาสมัครเพื่อการคำนวณ (Volunteer Computing) มีเพียงโปรเจคเดียวคือ SETI@Home (Search for Extra-Terrestrial Intelligence at home) ซึ่งเป็นโครงการที่วิเคราะห์คลื่นวิทยุเพื่อค้นหาการส่งสัญญาณจากอารยธรรมที่มีปัญญานอกโลก แต่ก็ได้มีการโกงการส่งผลการคำนวณกันขึ้น BOINC จึงถูกพัฒนามาเพื่อป้องการการโกงเครดิตของโปรเจคและเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยให้กับโปรเจค ในปัจจุบันมีโปรเจคที่ร่วมกับโปรแกรม BOINC มากกว่า 30 โปรเจค ตั้งแต่งานวิจัยทางการแพทย์ เคมี การวิจัยสภาพอากาศ ไปจนถึงเกมหมากรุก!


โปรเจคที่น่าสนใจที่อยากแนะนำมีอยู่ 3 โครงการได้แก่
  1. Rosetta@Home ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เป็นงานวิจัยโครงสร้าง 3 มิติของโปรตีนเพื่อหาทางรักษาโรคของมนุษย์
  2. World community grid ของ IBM โปรเจคนี้จะรวมงานวิจัยย่อยๆไว้อีกหลายโครงการเช่น การค้นหายาแก้ไข้เลือดออก การรักษามะเร็งในเด็ก รวมถึงการวิจัยพลังงานสะอาด โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้คอมพิวเตอร์ของเราวิจัยงานใดบ้าง 
  3. Climate Prediction ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ที่คำนวณแบบจำลองสภาพอากาศของโลกในอีก 100 ปีข้างหน้า

Climate Prediction application

การติดตั้งโปรแกรม BOINC ก็ไม่ได้ซับซ้อนวุ่นวายเลยเพียงแค่ดาวน์โหลดตัวติดตั้งจากเวบไซต์ BOINC  แล้วทำการติดตั้งโดยเราสามารถเลือกให้ BOINC เป็น Screensaver ได้ด้วย โปรแกรม BOINC ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลาเพราะเมื่อรับข้อมูลมาทำการวิเคราะห์และส่งผลการคำนวณแล้ว BOINC ก็ไม่ได้ใช้ช่องสัญญาณเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเลย ตัวโปรแกรม BOINC นั้นยังถูกพัฒนาไปจนสามารถดึงเอาพลังการคำนวณจาก Graphics Processing Unit (GPU) มาใช้ได้แล้วแต่การ์ดจอของคุณต้องเป็นรุ่นใหม่ที่รองรับความสามารถด้านนี้ด้วย (CUDA) ซึ่งการคำนวณจะเร็วกว่าการคำนวณโดย CPU เพียงอย่างเดียวตั้งแต่ 2 - 10 เท่า โดยปกติแล้ว BOINC จะทำงานโดยไม่รบกวนการใช้ CPU ปกติของเรา แต่มีข้อแนะนำอยู่สามเรื่อง คือ 
  • ถ้าจะเล่นเกมส์ที่ใช้ความสามารถของเครื่องหนักเช่นเกมส์ 3 มิติแล้วละก็ควรปิด BOINC ก่อนเล่นเกมส์ 
  • ข้อมูลของโปรเจค Climate Prediction ไฟล์จะใหญ่มากเนื่องจากเป็นโมเดลของสภาพอากาศทั้งโลก (ประมาณ 500 MB เทียบกับโครงการอื่นที่ประมาณ 20 - 100 MB)
  • การใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อ CPU ทำงานมากขึ้น จะมีการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานต่างกับขณะที่ไม่ได้ใช้งาน
Computer state (24 hrs/day)Typical power usageEnergy per monthCost per month (USA)Cost per month (Europe)
Off0 watts0 kWh$0€0
Idle100 watts73 kWh$5.84€14,60
Active150 watts110 kWh$8.80€22,00

ที่มา http://boinc.berkeley.edu/wiki/Heat_and_energy_considerations

ประเทศที่ีมีผู้เข้าร่วมโครงการและส่งผลการคำนวณมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกา ครองอันดับ 1 ในทุกโครงการ ในส่วนของประเทศไทยเองมีผู้เข้าร่วมและส่งผลการคำนวณอยู่ในอันดับที่ 52 จำนวนสมาชิก 295 คนจาก Rosetta อันดับที่ 47 จำนวนสมาชิก 684 คนจาก World Community Grid และอันดับที่ 51 จำนวนสมาชิก 303 คนจาก Climate Prediction

ถ้าคุณยังใข้คอมพิวเตอร์ของคุณไม่เต็มความสามารถที่มันมีแล้ว ลองสมัครเข้าร่วมโครงการกับ BOINC ดูเพื่อมีส่วนร่วมในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ไม่แน่ว่าคอมพิวเตอร์ของคุณอาจเป็นเครื่องที่ช่วยให้ค้นพบอารยธรรมต่างดาว หรือ ยารักษาโรคที่ปัจจุบันยังไม่มีก็ได้

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

กำจัดแมลงสาบ

วันนี้หลังจากเคลียร์งานเสร็จ ก็คิดได้ว่าควรจะจัดการเจ้าพวกแมลงสาบที่เข้าไปทำรังอย่างสบายใจในมุมอับของตู้เก็บเอกสารซะที เลยไปเรียกพี่แม่บ้านให้มาพร้อมอาวุธครบมือ ได้แก่ ไม้กวาด ที่ตักผง ผ้าขี้ริ้ว และ ยาฉีดฆ่าแมลง ให้พี่แม่บ้านเป็นแนวหน้า (สุภาพบุรุษสุดๆ) ส่วนเราเป็นแนวหลังคอยจัดการพวกที่หนีรอดจากแนวหน้ามาได้ด้วยอาวุธประจำเท้า เริ่มปฏิบัติการได้....

พอยกตู้ขึ้นทำให้เห็นบริเวณชุมนุมของกลุ่มแมลงสาบได้ชัดเจน แต่เนื่องด้วยความเร็วในการหลบซ่อนทำให้นับจำนวนด้วยตาเปล่าได้แค่คร่าวๆ สิบกว่าตัว พริบตาเดียวพวกมันก็หนีไปหลบตามซอกตามหลืบต่างๆ พี่แม่บ้านใช้ยาฉีดฆ่าแมลงลุยเข้าไปก่อนแล้วตามด้วยไม้กวาด กวาดพวกมันออกมา ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพหงายท้องเต้นบีบอย มีหลุดมาแถวสองให้ได้ยกเท้าวางใส่สามตัว และ มีแอบอยู่ในเพดานตู้ที่ยกออกอีก 3 ตัว สรุปแล้วที่จัดการรวบตัวได้วันนี้มีทั้งหมดอยู่ในที่ตักผง 12 ตัวครบโหลพอดี

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ด้วยความรู้สึกว่าแบบนี้เดี๋ยวมันจะกลับมาใหม่แล้วเราต้องจัดชุดปฏิบัติการแบบนี้กันทุกๆเดือนหรือเปล่านะ และเคยได้ยินว่าพวกแมลงจะเริ่มปรับตัวทนต่อยาฆ่าแมลงได้ เราจะมีวิธีป้องกันไม่ให้พวกมันกลับมาอาศัยอยู่มั้ย หรือมีวิธีที่จะจัดการแบบปลอดสารพิษบ้างหรือเปล่า เอาล่ะ อากู๋ครับ ช่วยผมหน่อย "การกำจัดแมลงสาบ"

ผลลัพธ์แรกที่ Google ให้มา เป็นกระทู้ในเวบบอร์ด dek-d.com เน้นไปที่การดักจับนะครับ อ่านดูรู้สึกว่าหาวัสดุมาทำได้ง่ายๆ

********
วิธีการกำจัดแมงสาบแบบบ้าน ๆ (เน้นประหยัดและง่าย)

ส่วนประกอบ

  1. ขวด เฮลบลูบอยที่หมดแล้ว 1 - 2 ขวด
  2. น้ำมันหมู

วิธีทำ

  1. เทน้ำมันหมูลงในขวด เฮลบลูบอย แล้วก็เคล้ากะให้น้ำมันหมูเกาะทั่วขวด
  2. เอาน้ำมันหมูป้ายขอบในคอขวด กะให้กำลังลื่นพองาม
  3. เอาไปตั้งไว้กลางห้องครัว หรือ แหล่งชุมนุม แมงสาบ (เฉพาะจุดที่พบบ่อยๆ)
  4. ทิ้งเอาไว้ ประมาณ 8 ชม. แนะนำ >>ตั้ง<< ไว้ก่อนนอน
  5. ตื่นมาตอนเช้าอย่าตกใจ แมงสาบจะยัวะเยียะ ไปทั้งขวด แต่ออกมาไม่ได้ เด็กและสตรีที่กลัวแมลงสาบ ไม่ควรทำ เพราะอาจจะตกใจตายได้
  6. เอาฝาเฮลบลูบอยปิดไว้ แล้วฝากให้รถขยะพาแมงสาบไปเที่ยว


วิธีกำจัดแมลงสาบ แบบอื่นๆ

  • แมลงสาบมักชอบอยู่ในมุมอับ ผลิตลูกหลานออกมาอย่างมากมาย วิธีกำจัดง่าย ๆ ก็คือ เอาน้ำตาลเคี่ยวกับน้ำให้มีกลิ่นหอมแล้วนำไปใส่ในกะละมังหรือภาชนะที่มีความลื่น เพราะเมื่อแมลงสาบได้กลิ่น มันจะลงไปกินแต่ไม่สามารถไต่ขึ้นมาได้ วิธีนี้ก็จะช่วยลดพลเมืองแมลงสาบได้มาก และถ้ากันมดและแมลงสาบเข้าไปในตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ โดยใช้ก้านพลูและพริกไทยเม็ดบรรจุใส่ถุงผ้าเล็ก ๆ แล้วนำไปไว้ตามซอกของตู้เสื้อผ้า หรือ ตู้หนังสือ 
  • นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงในขวด ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้
  • ใช้เหยื่อล่อแมลงสาบสำเร็จรูป ซึ่งบรรจุอยู่ในตลับที่มีช่องว่างเพื่อให้แมลงสาบมุดหัวเข้าไปกินเหยื่อแล้วออกมาตายภายนอก (ไม่ตายค้างอยู่ด้านในตลับ) โดยนำไปวางไว้ในบริเวณที่มีแมลงสาบชอบเดินผ่าน อาทิ ตามซอกมุมอับต่างๆ หรือวางไว้ใกล้ท่อระบายน้ำทิ้ง เพื่อดักแมลงสาบที่ออกมาหากินยามค่ำคืน
  • ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง มีประสิทธิภาพในการดักจับแมลงสาบได้ดี ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและพับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน เมื่อมีแมลงสาบมาติดจนเต็ม ให้พับบ้านแมลงสาบเข้าทุกด้าน แล้วนำไปทิ้งลงถังขยะ บ้านแมลงสาบมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3-4 สัปดาห์ 
  • เอาปูนซีเมนต์ มาผสมกับอะไรหอมๆ น่ากิน เช่น นมผง โอวัลติน หรือถั่วบด ใส่ถาดวางใว้ในที่ที่แมลงสาบชอบเดินผ่าน แล้วก็เอาขันใส่น้ำวางไว้ข้างๆ เมื่อแมลงสาบได้ลิ้มรส อาหารผสมปูนซีเมนต์ และจิบน้ำเข้าไป ปูนซีเมนต์เมื่อผสมกับน้ำก็จะแข็งตัวในท้องของมัน 


http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1181425

********
ส่วนผลลัพธ์ถัดมาก็ดูน่าสนใจเช่นกัน
********

สารกำจัดแมลงสาบที่นักเรียนโรงเรียนสมเด็จประชานุเคราะห์ อำเภอสมเด็จ จังหวัด กาฬสินธุ์ค้นพบและสามารถกำจัดแมลงสาบให้กลับไปตายที่รังได้สำเร็จ

มีส่วนประกอบสำคัญคือ ปูนซีเมนต์ผง ผงแป้งข้าวจ้าว และผงโอวัลติน

ซึ่งเมื่อนำผง 3 ชนิดมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันมากที่สุดแล้วนำไปวางไว้ในที่ที่มีแมลงสาบซุกชุม
พร้อมนำน้ำ ไปวางใกล้ๆแมลงสาบจะมากินสารกำจัดแมลงสาบและน้ำแล้วจะกลับไปตายที่รังของมัน
ซึ่งเป็นวิธีการกำจัดแมลงสาบที่ไม่มีพิษตกค้าง และเป็นอันตรายต่อมนุษย์เหมือน กับการกำจัดแมลงสาบโดยวิธีการใช้สารเคมีฉีดพ่น

เด็กหญิงเจนจิรา โพนยงค์ นักเรียนชั้นประถมปีที่ 6 โรงเรียนสมเด็จ
ประชานุเคราะห์หนึ่งในผู้คิดค้นสารกำจัดแมลงสาบกล่าวว่า ส่วนประกอบของสารกำจัด
แมลงสาบที่นำผสมกันจะมีคุณสมบัติและทำหน้าที่แตกต่างกันไป คือ


  • โอวัลตินจะเป็นสารที่ล่อให้แมลงสาบมากินสารกำจัดแมลงสาบ 
  • แป้งข้าวจ้าวจะทำให้แมงสาบหิวน้ำเมื่อกินเข้าไป 
  • ส่วนปูนซีเมนต์จะทำให้แมงสาบแน่นท้องและตายเมื่อกินสารกำจัดแมลงสาบและน้ำเข้าไป 


ทุกคนทุกบ้านสามารถผลิตสารกำจัดแมลงสาบแบบง่ายๆนี้และนำไปใช้ได้เองอย่างปลอดภัย
ไม่มีสารตกค้าง ให้เป็นอันตรายกับชีวิต

ต้องขอชื่นชมเด็กไทย หัวใส มีสติปัญญาไม่แพ้ประเทศไหนในโลกใบนี้เหมือนกัน

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=silver-mini&month=08-10-2008&group=1&gblog=9

*******
อ่านเสร็จแล้วรู้สึกว่า เข้าท่าแหะ เมนูกินปูนร้อนท้องเนี่ย แต่เอะ เราข้ามอะไรไปหรือเปล่า จริงๆแล้วเรารู้จักเจ้าแมลงสาบนี้ดีหรือยัง

ปกติมันใช้ชีวิตยังไงนะ งานนี้ก็ต้องถามท่านวิกี้แล้วล่ะ ... (http://en.wikipedia.org/wiki/Cockroach) ... เอิ่ม! ภาษาอังกฤษเยอะมาก เริ่มขี้เกียจอ่านล่ะ แหะๆๆ ตัดตรงที่รู้สึกว่าโดนใจมานิดนึงแล้วกันนะ น้าวิกี้บอกว่าแมลงสาบเนี่ย เป็นพวกอึด (Hardiness) สามารถมีชีวิตรอดได้เป็นเดือนโดยไม่มีอาหาร ขาดอากาศได้มากถึง 45 นาที และสามารถฟื้นตัวจากการจมน้ำนานถึง 30 นาทีได้อีกด้วย ใครอย่าไปคิดแข่งกลั้นหายใจกับมันละ นอกจากนั้นแล้วแมลงสาบยังไม่ต้องกลัวเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์จะระเบิด หรือการรั่วไหลของสารกัมตรังสีเพราะพวกมันสามารถทนต่อรังสีได้สูงกว่ามนุษย์ประมาณ 6 - 15 เท่าเลยทีเดียว เหอะๆๆ สุดยอดมั้ยล่ะ

น้าวิกี้บอกวิธีกำจัดด้วยนะ น้าแกบอกว่าให้ใช้ดินเบา (Diatomaceous earth) โรยไว้ แต่ว่ามันคืออะไรล่ะดินเบา เราไม่รู้จัก อากู๋ช่วยด้วย... อากู๋พาไปที่เวบไซต์ของศูนย์นวัตกรรมเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (PHTIC) โดย อ.ดร.เยาวลักษณ์ จันทร์บาง ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อธิบายดินเบาไว้ว่า "เป็นสารที่ได้จากการสะสมของสิ่งมีชีวิตเซลเดียวเรียกว่า diatom ที่ตายทับถมกันอยู่ชั้นดินในแหล่งน้ำจืดและน้ำทะเลนับล้านปี ในโครงสร้างของ diatom ที่เหลืออยู่จะมีส่วนประกอบของ ซิลิกาเป็นจำนวนมาก ดินเบาที่ถูกขุดนำมาใช้สามารถใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่นอุตสาหกรรมการกรอง เป็นวัสดุดูดซับของเสีย และเป็นส่วนผสมของอิฐเบา นำมาใช้ในขบวนการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร และสามารถนำมาใช้เป็นสารกำจัดแมลงได้ด้วย (Subramanyam and Roesli, 2000; กรมวิชาการเกษตร, 2007)"

ส่วนดินเบาฆ่าแมลงได้อย่างไรนั้น อาจารย์บอกต่อว่า " ดินเบาดูดซับไขมันที่ผนังลำตัวชั้นนอกของแมลงทำให้แมลงมีการสูญเสียน้ำ และผลพลอยได้จากการที่ดินเบาอาจขีดข่วนมีผลทำให้แมลงสูญเสียน้ำเช่นกันแต่นับว่าเป็นปัจจัยที่รองลงมา จากสาเหตุที่ทำให้แมลงสูญเสียน้ำดังกล่าวและเนื่องจากแมลงเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหากมีการสูญเสียน้ำเพียงเล็กน้อย ก็มีผลรุนแรงทำให้แมลงตายได้ (Subramanyam and Roesli, 2000)"

เข้าท่าแหะ ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงด้วย แต่จะไปหาดินเบาได้จากที่ไหนล่ะ จะมีขายตามร้านสินค้าเกษตรมั้ยนะ เอาไว้ก่อนละกัน มาดูวิธีถัดไปที่น้าวิกี้แนะนำดีกว่า ... ใช้ตัวต่อ! (Wasp) ตระกูล Ampulex ซึ่งเป็นศัตรูตามธรรมชาติของแมลงสาบ วิธีการที่เจ้าตัวต่อนี้ล่าแมลงสาบก็จัดอยู่ในแนวหนัง Thriller ผสม Action ได้เลย ตัวต่อจะต่อยแมลงสาบสองครั้ง ครั้งแรกจะทำให้แมลงสาบเคลื่อนไหวไม่ได้ไป 2-5 นาที จากนั้นก็จะต่อยครั้งที่สองไปที่สมองของแมลงสาบที่ควบคุมปฏิกิริยาการหนีและอื่นๆ พอแมลงสาบฟื้นตัวจากเข็มแรกแล้ว มันก็จะไม่พยายามหนีและจะถูกตัวต่อพาไปที่รังและวางไข่ไว้บนตัวของแมลงสาบทั้งเป็น! ขนลุกมั้ย วิธีนี้คงจะไม่ไหว ให้ตัวต่อมาบินเล่นอยู่ในสำนักงานคงไม่มีใครเห็นด้วยแน่ๆ

เอาล่ะ พอจะได้วิธีกำจัดโดยไม่ต้องใช้สารเคมีที่เป็นพิษแล้ว ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะสะดวกแบบไหน กับดักแบบขวดเองน้าวิกี้ก็แนะนำเหมือนกันนะ เรียกว่า "Vegas roach trap" แต่เห็นว่าได้ผลดีกับแมลงสาบพันธ์อเมริกันมากกว่าสายพันธ์เยอรมัน อ้าว ทำให้มีคำถามอีก แล้วแมลงสาบในประเทศไทยนี่มันสายพันธ์อะไรล่ะ น้าวิกี้ไทยบอกว่าที่พบในไทยส่วนใหญ่จะเป็นพันธ์อเมริกัน และ ออสเตรเลีย พันธ์หลังนี้สะดุดกับคำว่า"บินได้เก่ง!!!" (http://th.wikipedia.org/wiki/แมลงสาบ)

ขอไม่ลงรูปประกอบใดๆเลยแล้วกันนะ แค่นึกถึงภาพที่เห็น 10 กว่าตัวที่วิ่งกันพล่านนั้นก็ ขนลุกแล้วล่ะ แล้วอาทิตย์หน้าจะได้จัดชุดปฏิบัติการ เตรียมกับดักไปจัดการกับแมลงสาบพวกนี้ แบบไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้เป็นพิษเป็นภัยกับคนรอบข้างซะที