วันอังคารที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ยาวิเศษ ลดความอ้วน (ตอนที่ 2)

แก้ปัญหาเรื่องของทานเล่นไปแล้วยังเหลือมื้อหลักที่สำคัญ ทานแบบเดิมๆไม่ได้แน่ๆ นอกจากให้พลังงานเยอะแล้วยังทำให้มีปัญหาเรื่องไขมันในเลือดสูงตามมาอีกต่างหากไหนๆแล้วจะศึกษาเรื่องอาหารแล้ว แค่ลดน้ำหนักคงไม่พอ ทานทั้งทีให้สุขภาพดีไปเลยดีกว่า ไขมันในเลือดนี่คือเจ้าคลอเลสเตอรอลนี่เอง มันคืออะไรล่ะ ทำไมถึงสร้างปัญหา คลอเลสเตอรอลเป็นสารเคมีที่คล้ายไขมัน ส่วนใหญ่แล้วจะถูกผลิตขึ้นจากตับ พบได้ในทุกเซลล์ของร่างกาย ถูกใช้ในการผลิตฮอร์โมน วิตามินดี และสร้างน้ำดี เนื่องจากคลอเลสเตอรอลเป็นไขมัน แต่เลือดมีลักษณะเป็นน้ำ ไขมันกับน้ำผสมกันไม่ได้การขนส่งคลอเลสเตอรอลไปตามกระแสเลือดจึงอยู่ในรูปแบบของไลโปโปรตีน ซึ่งมีอยู่หลักๆด้วยกัน 3 ชนิด


Low density lipoprotein (LDL) หรือ คลอเลสเตอรอลร้าย LDL จะทำหน้าที่ขนส่งคลอเลสเตอรอลจากตับไปยังเซลล์ต่างๆ ถ้ามีมากเกินไป LDL จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแข็ง เกิดอาการตีบตัน (Atheroma) ซึ่งอันตรายมากถ้าหลอดเลือดนั้นส่งเลือดมาเลี้ยงหัวใจหรือสมอง เพราะอาการหลอดเลือดตีบระยะแรกจะไม่อาการให้เห็น จะแสดงอาการก็ต่อเมื่อเป็นมากแล้ว LDL ไม่ควรจะมีเกิน 100 mg/dL


High density lipoprotein (HDL) หรือ คลอเลสเตอรอลดี มีตัวร้ายแล้วก็ต้องมีตัวดี HDL ทำหน้าที่กลับกันกับ LDL คือจะส่งคลอเลสเตอรอลส่วนเกินที่เซลล์ใช้ไม่หมดกลับไปยังตับ เพื่อนำมาใช้สร้างน้ำดีหรือไม่ก็ขับออกมาทางอุจาระ ดังนั้นการมี HDL สูงก็จะลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดตีบได้ HDL ควรจะมีไม่น้อยกว่า 40 mg/dL


Triglycerides ไตรกลีเซอไรด์นี้จะมาจากไขมันในอาหารที่เราทานโดยตรง หรือ ผลิตขึ้นในร่างกายของเราจากคาร์โบไฮเดรตที่เราทานเข้าไป พลังงานแคลอรี่ที่เราใช้ไม่หมดในแต่ละวันจะถูกแปลงให้เป็นไตรกรีเซอไรด์และเก็บไว้ในเซลล์ไขมัน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานไม่เพียงพอก็จะดึงไตรกลีเซอไรด์ออกมาใช้ เจ้านี่เองตัวการของความอ้วนของเราที่เราต้องดึงมันออกมาใช้ การมีเจ้าไตรกลีเซอไรด์สูงก็จะทำให้มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นด้วย ไตรกลีเซอไรด์ไม่ควรมีเกิน 150 mg/dL


พอทราบข้อมูลพวกนี้แล้ว ทำให้เห็นว่าอาหารสำคัญกว่าที่เราคิดมาก ในช่วงที่ผมกำลังหาข้อมูลอยู่นั้นเอง แฟนผมก็แนะนำให้ติดตามหมอใน Twitter ท่านนึง คือ คุณหมอหมีจะแนะนำให้ทานอาหารให้สมดุล ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ แต่เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยให้ส่งการบ้านแล้วหมอหมีจะตรวจให้คะแนนกลับมา เราสามารถค้นหาอาหารคะแนนเต็มสิบได้จาก #10DrBear แต่ถ้าคะแนนอาหารที่คุณทานไปได้คะแนนน้อย หรือไม่เหมาะสมก็จะโดนลงโทษด้วย การออกกำลังกายหนึ่งชุด ได้แก่ “Plank 3 เซต ซิทอัพ 60 ยกขา 60” ตามคลิปต่างๆในหน้านี้


นอกจากเรื่องอาหารแล้วหมอหมียังชวนออกกำลังกายด้วยโครงการ 1 ปี 1,000 กิโลเมตร ให้วิ่งออกกำลังกายสะสมกันให้ครบหนึ่งพันกิโลเมตรภายในหนึ่งปี ซึ่งดูแล้วเหมือนเยอะมากแต่ก็มีคนส่งการบ้านว่าวิ่งครบกันตั้งแต่ครึ่งปีก็มี การติดตามทวิตเตอร์ของหมอหมีทำให้ได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น (ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยส่งการบ้านอาหารที่ทานหรือวิ่งเลยก็ตาม ฮ่าๆๆ)


ผมเลือกที่จะนำข้อมูลที่ได้รับรู้มาปรับให้เข้ากับตัวเองจะดีกว่านำแนวทางของคนอื่นมาทั้งหมด เนื่องจากความเหมาะสมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สิ่งที่สำคัญคือความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเพราะดูจากหลักการต่างๆในการลดความอ้วนแล้วมันเป็นสิ่งที่ง่ายดายมาก แค่เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ให้พลังงานเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ ง่ายจนบางคนไม่เชื่อว่าทำได้จริง ก็เลยไม่ลองทำ ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือพวกพ่อรวยสอนลูก สิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริงๆคือให้เปลี่ยนตัวเองทางความคิดก่อน เมื่อความคิดเปลี่ยนตัวคุณเองจะเปลี่ยนไปด้วย


ผมเริ่มการปรับพฤติกรรมการกินทีละน้อย เริ่มจากเรื่องสุขภาพทอนซิลอักเสบที่เคยเป็นบ่อยๆ ผมก็เลิกทานน้ำเย็น หันมาทานน้ำอุ่นแทน และงดทานไอศกรีมไปด้วย ซึ่งไอศกรีมเองนั้นมีน้ำตาลที่สูงมาก จากนั้นก็เปลี่ยนมื้อหลักที่เคยทานเยอะๆหลายๆจาน ทานจนหมดเพราะความเสียดาย มาเป็นทานแค่จานเดียว แต่อาหารยังไม่สมดุลเท่าของหมอหมี อาหารมื้อเช้าผมจะทานค่อนข้างปกติ เช่น กระเพราไก่ไข่ดาวของโปรด ไม่เคยจะงดทานมื้อเช้า อาหารกลางวันจะทานเบาลงมาหน่อย เน้นเป็นก๋วยเตี๋ยวเพื่อลดปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับ ส่วนมื้อเย็นจะกินสลัดผัก ทีนี้สลัดผักเปล่าๆรสชาติจะแย่มากๆสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ทานผัก ดังนั้นหัวใจสำคัญอยู่ที่เลือกน้ำสลัด สลัดครีมนี่ควรงดไปเลย ทั้งไข่ทั้งน้ำตาลเพียบ ส่วนน้ำใสก็ยังพอได้ น้ำสลัดญี่ปุ่นทานแค่พอประมาณ ส่วนตัวผมแล้วชอบน้ำสลัดบัลซามิก หรือ ราดหน้าสลัดด้วยน้ำมันมะกอกมากกว่า สำหรับคนที่ทานผักสดไม่ได้เลย ก็แนะนำให้ทานต้มจืดแทนและไม่ควรปรุงจนเค็มเกินไป


วิธีปรุงอาหารก็มีส่วนสำคัญในการควบคุมน้ำหนักและลดความอ้วน วิธีที่ดีที่สุดคือการต้ม และการนึ่ง แต่เมนูส่วนใหญ่ที่เรานิยมกันก็จะเป็นการผัด และการทอด เช่น กระเพราไก่(ผัด) ไข่ดาว(ทอด) หัวใจหลักของการผัดและทอดก็คือน้ำมัน ดังนั้นเราควรเลือกน้ำมันที่ใช้ให้ดีต่อร่างกาย


น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวชนิดเชิงเดี่ยว (เช่น กรดโอเลอิก) มากที่สุด ช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี แต่มีจุดเกิดควันต่ำจึงไม่เหมาะกับการทอด เหมาะสำหรับการนำไปปรุงอาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อน ใช้เป็นน้ำมันสลัด แต่ข้อจำกัดคือมีราคาสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น
น้ำมันรำข้าว มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง คุณลักษณะคล้ายน้ำมันมะกอก แต่ราคาไม่แพงมีสารโอรีซานนอลสูงซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น ช่วยต้านการเกิดอนุมูลอิสระ เหมาะกับการใช้ผัด
น้ำมันปาล์ม เหมาะกับการทอดมากที่สุด เนื่องจากสามารถทนความร้อนได้สูง ให้ความร้อนเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทำให้เกิดปัญหาเรื่องคลอเลสเตอรอล ดังนั้นจึงไม่ควรทานของทอดบ่อยๆ




เมื่อผมเริ่มปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารการกินแล้วน้ำหนักผมก็ค่อยๆลดลงทีละน้อยเนื่องจากผมไม่ได้หักโหม รูปร่างผมยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก ดังนั้นการปรับเปลี่ยนต่อไปคือการออกกำลังกาย หลังจากที่ไม่ได้ออกกำลังกายมานาน ถ้าไปเริ่มวิ่งเลยผมก็กลัวว่าจะเหนื่อยจนท้อไปซะก่อน และช่วงที่ผมจะเริ่มทำฝนตกตอนเช้าทุกวันไม่สามารถออกไปวิ่งข้างนอกได้ ผมเลยสนใจการทำโยคะเพราะสามารถทำในห้องนอนเงียบๆได้ ผมเริ่มด้วยการยืดเส้นยืดสายก่อน โดยมี Tara Stiles เป็นครูฝึกให้ทุกเช้าหลังตื่นนอน ยอมรับว่าตัวผมยืดหยุ่นมากขึ้นจริงๆ





เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน มาเจอคลิปออกกำลังกายเน้นลดหน้าท้องของ Jillian Michaels เลยหันมาลองทำตามดู ท่าดูง่ายๆและค่อนข้างดูดีไม่เหมือนพวกท่าเต้นแอโรบิคทั่วไป ช่วงแรกๆทำไม่พ้นวอร์มอัพด้วยซ้ำก็เหนื่อยแฮก (น่าจะไม่เกิน 10 นาที) ซึ่งเผลอตัวอีกทีประมาณ 2 อาทิตย์ เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง กางเกงที่เคยใส่พอดีเริ่มหลวมขึ้น สะโพกกับต้นขาคงจะลดลง (แต่ในคลิปเขาบอกว่าลดหน้าท้องนี่นา!!!) และเริ่มทำตามคลิปได้นานขึ้น เหนื่อยน้อยลง พอเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด เราจะรู้สึกดีขึ้นว่าเราทำสำเร็จ เพื่อนๆหลายคนก็เริ่มทักว่าผอมลงทำให้มีกำลังใจที่จะควบคุมและรักษาสุขภาพให้ดีต่อไป

เคล็ดลับสุดท้ายในการลดน้ำหนักที่ง่ายดายและไม่น่าเชื่ออีกอย่างคือ การนอนหลับ แค่คุณนอนคุณก็ผอมได้แล้ว แต่ไม่ใช่การนอนกลางวันในที่ทำงานนะ ในแต่ละคืนควรจะนอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 8 ชั่วโมง เมื่อรวมวิธีต่างๆเข้าด้วยกันแล้ว น้ำหนักที่ 78 ของผมก็ลดเหลือ 70 ภายในเวลา 3 เดือน คุณอาจจะลดได้มากกว่านี้ หรือน้อยกว่านี้แล้วแต่ตัวคุณ คุณสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิถีชีวิตของคุณเอง ผมลืมบอกไป ไม่มียาวิเศษที่ลดความอ้วนได้หรอกครับสิ่งสำคัญคือคุณต้องมีเป้าหมาย มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง และใช้วิธีที่เหมาะกับตัวเอง เพราะสุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ยาวิเศษ ลดความอ้วน (ตอนที่ 1)

เรื่องอ้วนไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับคนยุคนี้เลย ผมยังไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะอ้วนได้ เพราะสมัยเรียนทานเท่าไหร่ก็ไม่เคยที่ตัวจะขยายออก เป็นเด็กผู้ชายเป็นวัยรุ่นแห้งๆมาตลอด แต่พอเรียนจบมาทำงานนั่งโต๊ะเท่านั้นแหละ เผลอตัวแค่ไม่กี่ปี จากกุ้งน้อยก็กลายเป็นหมีตัวกลมๆ ก็เริ่มมีความคิดที่จะออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่ก็ไม่เคยได้ทำจริงจังซะที ข้ออ้างก็มากมายตั้งแต่ ชีวิตในเมืองใหญ่บางทีก็เหนื่อยเกินไป ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อฝ่าการจราจรไปทำงาน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกดื่นจะหาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายล่ะ ในอาหารการกิน เมนูสุดฮิตเวลาสังสรรค์กับเพื่อนก็หนีไม่พ้นบุฟเฟต์ต่างๆที่แสนจะอร่อยและทานได้ไม่อั้น ไขมันก็ค่อยๆสะสมรอบๆตัวพร้อมกับความสามารถในการกินที่เพิ่มขึ้น


แล้วในช่วงปีที่แล้วอยู่ๆผมก็เป็นทอนซิลอักเสบ แค่พักผ่อนน้อยนิดหน่อยผมก็ไม่สบายแล้ว เป็นสองอาทิตย์หายสองอาทิตย์ เป็นบ่อยมาก แค่หวัดธรรมดาก็กระตุ้นให้อาการหนักได้ เสียเวลาเสียค่ายาไปเยอะทีเดียว ทางเลือกก็คือ ผ่าตัดต่อมทอนซิลที่เป็นปัญหาออกซะ (ทอนซิลเป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่ช่วยขจัดเชื้อโรค แต่พอมันเสียหายแล้วก็จะเป็นสาเหตุการป่วยซะเอง คล้ายๆกับไส้กรองอากาศรถยนต์ ถ้ามันสกปรกมากก็จะทำให้เปลืองน้ำมันได้) หรือถ้าไม่ผ่าก็ต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยได้ง่ายๆ


คนเราต้องการแรงกระตุ้นที่รุนแรงและสำคัญถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แรงกระตุ้นของผมก็คือเจ้าลูกชายตัวน้อยๆ ผมไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในเรื่องการละเลยไม่ดูแลสุขภาพให้เขาเห็นเป็นแบบอย่าง ดังนั้น ผมจำเป็นที่จะต้องเริ่มขจัดความอ้วนและปัญหาสุขภาพออกไป ส่วนสูงผมอยู่ที่ 170 เซนติเมตร ส่วนน้ำหนักที่ทำไว้สูงสุดอยู่ที่ 78 กิโลกรัม เกินมาตราฐานมา 8 กิโลกรัมแค่นั้นเอง ดูไม่เยอะมากมายอะไรแต่พุงที่ใหญ่มาก และมีแต่ไขมันโดยที่กล้ามเนื้อแทบหาไม่เจอจึงทำให้มองไกลๆเห็นเป็นหมีตัวย่อมๆได้


คราวนี้ก็มาถึงวิธีหาทางกำจัดความอ้วนกันล่ะ ครั้งก่อนๆที่เคยลองทำก็คือออกกำลังกาย ผมไปว่ายน้ำทุกเย็นอยู่ช่วงนึง ตั้งใจมากๆ แต่ผลที่ได้คือหิวกว่าเดิม ปกติแค่พยายามกินให้เท่าเดิมไม่มากกว่าเดิมก็ลำบากแล้ว พอเหนื่อยบวกหิวแล้วด้วยก็คิดว่าเราออกกำลังกายไปแล้ว กินเข้าไปก็คงไม่เป็นไรหรอก เลี่ยงๆไขมันทานเน้นโปรตีนแล้วกัน โปรตีนที่ว่าก็ไส้กรอกบ้าง แฮมบ้าง หมูปิ้งบ้าง ไม่ได้ทำการบ้านเลยว่าเนื้อสัตว์แปรรูปนี่ไขมันจะสูงมาก สรุปตัวเท่าเดิม น้ำหนักลดลงนิดหน่อย การกำจัดความอ้วนครั้งนั้นก็เป็นอันล้มเหลว

ส่วนการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารนั้นผมไม่ได้ทดลองทำ เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าเราไม่ควรจะแก้ปัญหาอย่างนึงแล้วไปทำให้เกิดปัญหาอีกอย่างนึง โดยปล่อยให้ท้องว่างแล้วเป็นโรคกระเพาะแทน แต่เคยลองวิธีไม่ทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น ทำได้ไม่นานนักก็เลิกไปเพราะเวลามันจำกัดเหลือเกิน เป็นอันล้มเหลวไปอีกวิธีนึง

ผมเป็นแฟนรายการเจาะข่าวตื้นของจอห์น วิญญู วันนึงเขาก็ทำรายการ Good Shape Save Cost ขึ้น ตอนแรกๆที่จอห์นเขาพูดถึงเรื่องที่เขาไปออกกำลังกายนี่ตรงมากๆ ค่าใช้จ่ายที่เสียไปเยอะมาก (แต่ของผมลงทุนน้อยกว่าเขานะ) พอมาตอนที่สี่ที่พูดถึงการควบคุมน้ำหนักไม่เท่ากับการลดน้ำหนักนี่ กระจ่างเลย ว่าทำไมสิ่งที่เราทำมันไม่สำเร็จซะที หลักการจริงๆมันง่ายนิดเดียว เราอ้วนเพราะมีไขมันสะสมในร่างกาย ไขมันที่สะสมเกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไปแล้วเราใช้ไม่หมด สะสมเข้าวันละนิดวันละหน่อย รวมๆเข้าหลายๆปีมันก็กลายเป็นไขมันที่ฝากไว้ทั่วร่างกาย ดังนั้นการที่เราจะลดไขมันสะสมได้ก็ต้องเอาออกให้มากกว่านำเข้า การเอาพลังงานออกมาใช้ ไม่ได้หมายถึงการออกกำลังกายเสมอไป เพราะการใช้ชีวิตประจำวันโดยทั่วไปของเราก็มีการใช้พลังงานอยู่แล้ว ถ้าเรารู้ว่าในแต่ละวันเราใช้พลังงานเท่าไหร่ และเราไม่ทานอาหารเข้าไปจนมีพลังงานมากเกินความต้องการ แค่นี้ร่างกายเราก็จะต้องดึงไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้แทน (กิน < ใช้) สูตรสมการง่ายๆที่ได้คือ ( กิน + เก่า = ใช้ )


หน่วยวัดพลังงานที่ใช้ในการวัดพลังงานจากอาหารคือแคลอรี่ (cal) ซึ่งทางโภชนการจะใช้หน่วยเป็น กิโลกรัมแคลอรี่ (Cal หรือ Kcal) เท่ากับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อทำให้อุณหภูมิของน้ำ 1 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1 °C แล้วพลังงานเท่าใดที่เราต้องการในแต่ละวันล่ะ จะได้ทานอาหารไม่ให้เกินที่เราต้องใช้ จอห์น วิญญูบอกคร่าวๆไว้ที่ 2,000 Cal ผมไปค้นเพิ่มเติมใน Internet ก็เจอข้อมูลของกรมอนามัย เป็นตารางความต้องการพลังงานในแต่ละวันของคนไทยโดยทั่วไปดังนั้นแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกันออกไป ถ้าอยากคำนวนของคุณเองก็มีเป็นโปรแกรมคำนวนให้ พอคุณได้ตัวเลขค่าพลังงานที่ร่างกายใช้ในแต่ละวันแล้วก็ต้องเลือกทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยลงเพื่อที่ร่างกายจะได้ดึงพลังงานจากไขมันสะสมออกมาใช้ ส่วนอาหารชนิดไหนที่ให้พลังงานเยอะก็ให้เลี่ยงหรือนานๆกินที(เรียกอีกอย่างว่า”หลุด”นั้นเอง) ตัวอย่างเช่น คำนวนค่าพลังงานได้เท่ากับ 2,000 Cal ดังนั้นอาหารที่ทานไม่ควรเกิน 2,000 Cal เนื่องจากผมไม่หักโหม ผมตั้งใจจะทานแค่ 1,500 Cal เหลือให้ร่างกายดึงของเก่ามาใช้อีก 500 ( 1,500 + 500 = 2,000)

เข้าใจหลักการง่ายๆแล้ว ทีนี้ถึงเวลาลงมือทำแล้ว ความยากอยู่ตรงนี้แหละ อาหารโปรด อาหารที่คิดว่าแค่ธรรมดาๆนี่ให้พลังงานที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เปิดดูตารางแคลอรี่ในอาหาร ของโปรดของผม ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวก็ซัดไป 630 Cal แล้ว ผมกิน 3 มื้อก็จะเท่ากับ 1,890 Cal เหลือให้ร่างกายดึงของเก่ามาใช้ได้แค่ 110 Cal เอง นี่ยังไม่นับถึง น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวานอื่นๆอีก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้อ้วนมาขนาดนี้ เก็บเล็กผสมน้อยมาตลอดทางนี่เอง ก็เลยตั้งใจกับตัวเองว่างดเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล ผมเป็นคนไม่ทานกาแฟอยู่แล้วปกติจะทานชาเย็นหรือไม่ก็ชอคโกแลตเย็น ก็หันมาทาน ชาดำ ชาเขียว ชาขาว ชาอู่หลง ที่ไม่ใส่น้ำตาลแทน ไม่ว่าจะแบบชงชาร้อนทานเอง หรือ ซื้อแบบขวดที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ ก็จะเลือกแบบปราศจากน้ำตาล ส่วนขนมอื่นๆนี่ต้องเรียกว่างดเลย ให้อาทิตย์นึงหลุดได้ครั้งสองครั้งแบบเล็กน้อย สำคัญมากตรงนี้ ถ้าหลุดเยอะที่ทำไปทั้งหมดเรียกว่าเสียเปล่าไปเลย