วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ยาวิเศษ ลดความอ้วน (ตอนที่ 1)

เรื่องอ้วนไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับคนยุคนี้เลย ผมยังไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะอ้วนได้ เพราะสมัยเรียนทานเท่าไหร่ก็ไม่เคยที่ตัวจะขยายออก เป็นเด็กผู้ชายเป็นวัยรุ่นแห้งๆมาตลอด แต่พอเรียนจบมาทำงานนั่งโต๊ะเท่านั้นแหละ เผลอตัวแค่ไม่กี่ปี จากกุ้งน้อยก็กลายเป็นหมีตัวกลมๆ ก็เริ่มมีความคิดที่จะออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง แต่ก็ไม่เคยได้ทำจริงจังซะที ข้ออ้างก็มากมายตั้งแต่ ชีวิตในเมืองใหญ่บางทีก็เหนื่อยเกินไป ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อฝ่าการจราจรไปทำงาน กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกดื่นจะหาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายล่ะ ในอาหารการกิน เมนูสุดฮิตเวลาสังสรรค์กับเพื่อนก็หนีไม่พ้นบุฟเฟต์ต่างๆที่แสนจะอร่อยและทานได้ไม่อั้น ไขมันก็ค่อยๆสะสมรอบๆตัวพร้อมกับความสามารถในการกินที่เพิ่มขึ้น


แล้วในช่วงปีที่แล้วอยู่ๆผมก็เป็นทอนซิลอักเสบ แค่พักผ่อนน้อยนิดหน่อยผมก็ไม่สบายแล้ว เป็นสองอาทิตย์หายสองอาทิตย์ เป็นบ่อยมาก แค่หวัดธรรมดาก็กระตุ้นให้อาการหนักได้ เสียเวลาเสียค่ายาไปเยอะทีเดียว ทางเลือกก็คือ ผ่าตัดต่อมทอนซิลที่เป็นปัญหาออกซะ (ทอนซิลเป็นต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่ช่วยขจัดเชื้อโรค แต่พอมันเสียหายแล้วก็จะเป็นสาเหตุการป่วยซะเอง คล้ายๆกับไส้กรองอากาศรถยนต์ ถ้ามันสกปรกมากก็จะทำให้เปลืองน้ำมันได้) หรือถ้าไม่ผ่าก็ต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยได้ง่ายๆ


คนเราต้องการแรงกระตุ้นที่รุนแรงและสำคัญถึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แรงกระตุ้นของผมก็คือเจ้าลูกชายตัวน้อยๆ ผมไม่อยากเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในเรื่องการละเลยไม่ดูแลสุขภาพให้เขาเห็นเป็นแบบอย่าง ดังนั้น ผมจำเป็นที่จะต้องเริ่มขจัดความอ้วนและปัญหาสุขภาพออกไป ส่วนสูงผมอยู่ที่ 170 เซนติเมตร ส่วนน้ำหนักที่ทำไว้สูงสุดอยู่ที่ 78 กิโลกรัม เกินมาตราฐานมา 8 กิโลกรัมแค่นั้นเอง ดูไม่เยอะมากมายอะไรแต่พุงที่ใหญ่มาก และมีแต่ไขมันโดยที่กล้ามเนื้อแทบหาไม่เจอจึงทำให้มองไกลๆเห็นเป็นหมีตัวย่อมๆได้


คราวนี้ก็มาถึงวิธีหาทางกำจัดความอ้วนกันล่ะ ครั้งก่อนๆที่เคยลองทำก็คือออกกำลังกาย ผมไปว่ายน้ำทุกเย็นอยู่ช่วงนึง ตั้งใจมากๆ แต่ผลที่ได้คือหิวกว่าเดิม ปกติแค่พยายามกินให้เท่าเดิมไม่มากกว่าเดิมก็ลำบากแล้ว พอเหนื่อยบวกหิวแล้วด้วยก็คิดว่าเราออกกำลังกายไปแล้ว กินเข้าไปก็คงไม่เป็นไรหรอก เลี่ยงๆไขมันทานเน้นโปรตีนแล้วกัน โปรตีนที่ว่าก็ไส้กรอกบ้าง แฮมบ้าง หมูปิ้งบ้าง ไม่ได้ทำการบ้านเลยว่าเนื้อสัตว์แปรรูปนี่ไขมันจะสูงมาก สรุปตัวเท่าเดิม น้ำหนักลดลงนิดหน่อย การกำจัดความอ้วนครั้งนั้นก็เป็นอันล้มเหลว

ส่วนการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารนั้นผมไม่ได้ทดลองทำ เพราะโดยส่วนตัวคิดว่าเราไม่ควรจะแก้ปัญหาอย่างนึงแล้วไปทำให้เกิดปัญหาอีกอย่างนึง โดยปล่อยให้ท้องว่างแล้วเป็นโรคกระเพาะแทน แต่เคยลองวิธีไม่ทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น ทำได้ไม่นานนักก็เลิกไปเพราะเวลามันจำกัดเหลือเกิน เป็นอันล้มเหลวไปอีกวิธีนึง

ผมเป็นแฟนรายการเจาะข่าวตื้นของจอห์น วิญญู วันนึงเขาก็ทำรายการ Good Shape Save Cost ขึ้น ตอนแรกๆที่จอห์นเขาพูดถึงเรื่องที่เขาไปออกกำลังกายนี่ตรงมากๆ ค่าใช้จ่ายที่เสียไปเยอะมาก (แต่ของผมลงทุนน้อยกว่าเขานะ) พอมาตอนที่สี่ที่พูดถึงการควบคุมน้ำหนักไม่เท่ากับการลดน้ำหนักนี่ กระจ่างเลย ว่าทำไมสิ่งที่เราทำมันไม่สำเร็จซะที หลักการจริงๆมันง่ายนิดเดียว เราอ้วนเพราะมีไขมันสะสมในร่างกาย ไขมันที่สะสมเกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไปแล้วเราใช้ไม่หมด สะสมเข้าวันละนิดวันละหน่อย รวมๆเข้าหลายๆปีมันก็กลายเป็นไขมันที่ฝากไว้ทั่วร่างกาย ดังนั้นการที่เราจะลดไขมันสะสมได้ก็ต้องเอาออกให้มากกว่านำเข้า การเอาพลังงานออกมาใช้ ไม่ได้หมายถึงการออกกำลังกายเสมอไป เพราะการใช้ชีวิตประจำวันโดยทั่วไปของเราก็มีการใช้พลังงานอยู่แล้ว ถ้าเรารู้ว่าในแต่ละวันเราใช้พลังงานเท่าไหร่ และเราไม่ทานอาหารเข้าไปจนมีพลังงานมากเกินความต้องการ แค่นี้ร่างกายเราก็จะต้องดึงไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้แทน (กิน < ใช้) สูตรสมการง่ายๆที่ได้คือ ( กิน + เก่า = ใช้ )


หน่วยวัดพลังงานที่ใช้ในการวัดพลังงานจากอาหารคือแคลอรี่ (cal) ซึ่งทางโภชนการจะใช้หน่วยเป็น กิโลกรัมแคลอรี่ (Cal หรือ Kcal) เท่ากับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อทำให้อุณหภูมิของน้ำ 1 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1 °C แล้วพลังงานเท่าใดที่เราต้องการในแต่ละวันล่ะ จะได้ทานอาหารไม่ให้เกินที่เราต้องใช้ จอห์น วิญญูบอกคร่าวๆไว้ที่ 2,000 Cal ผมไปค้นเพิ่มเติมใน Internet ก็เจอข้อมูลของกรมอนามัย เป็นตารางความต้องการพลังงานในแต่ละวันของคนไทยโดยทั่วไปดังนั้นแต่ละคนก็อาจจะแตกต่างกันออกไป ถ้าอยากคำนวนของคุณเองก็มีเป็นโปรแกรมคำนวนให้ พอคุณได้ตัวเลขค่าพลังงานที่ร่างกายใช้ในแต่ละวันแล้วก็ต้องเลือกทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยลงเพื่อที่ร่างกายจะได้ดึงพลังงานจากไขมันสะสมออกมาใช้ ส่วนอาหารชนิดไหนที่ให้พลังงานเยอะก็ให้เลี่ยงหรือนานๆกินที(เรียกอีกอย่างว่า”หลุด”นั้นเอง) ตัวอย่างเช่น คำนวนค่าพลังงานได้เท่ากับ 2,000 Cal ดังนั้นอาหารที่ทานไม่ควรเกิน 2,000 Cal เนื่องจากผมไม่หักโหม ผมตั้งใจจะทานแค่ 1,500 Cal เหลือให้ร่างกายดึงของเก่ามาใช้อีก 500 ( 1,500 + 500 = 2,000)

เข้าใจหลักการง่ายๆแล้ว ทีนี้ถึงเวลาลงมือทำแล้ว ความยากอยู่ตรงนี้แหละ อาหารโปรด อาหารที่คิดว่าแค่ธรรมดาๆนี่ให้พลังงานที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เปิดดูตารางแคลอรี่ในอาหาร ของโปรดของผม ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวก็ซัดไป 630 Cal แล้ว ผมกิน 3 มื้อก็จะเท่ากับ 1,890 Cal เหลือให้ร่างกายดึงของเก่ามาใช้ได้แค่ 110 Cal เอง นี่ยังไม่นับถึง น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมหวานอื่นๆอีก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้อ้วนมาขนาดนี้ เก็บเล็กผสมน้อยมาตลอดทางนี่เอง ก็เลยตั้งใจกับตัวเองว่างดเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล ผมเป็นคนไม่ทานกาแฟอยู่แล้วปกติจะทานชาเย็นหรือไม่ก็ชอคโกแลตเย็น ก็หันมาทาน ชาดำ ชาเขียว ชาขาว ชาอู่หลง ที่ไม่ใส่น้ำตาลแทน ไม่ว่าจะแบบชงชาร้อนทานเอง หรือ ซื้อแบบขวดที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ ก็จะเลือกแบบปราศจากน้ำตาล ส่วนขนมอื่นๆนี่ต้องเรียกว่างดเลย ให้อาทิตย์นึงหลุดได้ครั้งสองครั้งแบบเล็กน้อย สำคัญมากตรงนี้ ถ้าหลุดเยอะที่ทำไปทั้งหมดเรียกว่าเสียเปล่าไปเลย